การเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร
การเพิ่มผลผลิตพืช หรือ ผลผลิตทางการเกษตร คือการบริหารจัดการการเพาะปลูก เพื่อมุ่งเน้นการเพิ่มปริมาณผลผลิต ต่อไร่ต่อปี ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จสำคัญ สำหรับการทำการเกษตร โดยแนวทางการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรมีปัจจัยสำคัญดังนี้
โดยประโยชน์ของการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ต่อปีนั้น นอกจากผลผลิต และ รายได้ ที่เกษตรกรจะได้เพิ่มแล้ว ก็ยังเป็นการช่วยทำให้ ต้นทุนต่อหน่วยลดลง ทั้งต้นทุนด้านแรงงาน ต้นทุนด้านสถานที่ และ ต้นทุนด้านปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องใช้ไปในทุกๆรอบของการเพาะปลูก จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่สุด ที่ควรคำนึงถึง ในการทำการเกษตร
การเลือกประเภทพืช และ พันธุ์พืช เพื่อการเพิ่มผลผลิต
การเลือกประเภทพืช และ พันธุ์พืช ให้เหมาะสมกับพื้นที่ สภาพแวดล้อม และ สภาพอากาศ เป็นปัจจัยแรก และ ปัจจัยสำคัญอย่างมาก ที่จะกำหนดปริมาณผลผลิต ต่อไร่ต่อปีของการเพาะปลูก โดยปัจจัยหลักที่ต้องพิจารณาได้แก่
1. ปริมาณน้ำ และ ความชื้น เนื่องจากแต่ละพืช และ แต่ละพันธุ์ จะมีความต้องการน้ำที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่น
- ข้าว ต้องการน้ำ เฉลี่ย 2 – 2.5 ล้านลิตร ต่อไร่ ต่อรอบการเพาะปลูก
- อ้อย ต้องการน้ำ เฉลี่ย 1 – 1.5 ล้านลิตร ต่อไร่ ต่อรอบการเพาะปลูก
- ข้าวโพด ต้องการน้ำ เฉลี่ย 0.5 – 1 ล้านลิตร ต่อไร่ ต่อรอบการเพาะปลูก
- มันสำปะหลัง ต้องการน้ำ เฉลี่ย 1 – 2 ล้านลิตร ต่อไร่ ต่อรอบการเพาะปลูก
- ปาล์มน้ำมัน ต้องการน้ำ เฉลี่ย 10 – 30 ล้านลิตร ต่อไร่ ต่อปี
ซึ่งจะสามารถเห็นได้ว่า พืชแต่ละประเภทนั้น มีความต้องการที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก การเลือกพืชให้เหมาะสมแก่พื้นที่ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยในการเพิ่มผลผลิต ต่อต้นต่อปี
2. สภาพอากาศ และ อุณหภูมิ เนื่องจากแต่ละภูมิภาคในประเทศไทย ก็มีสภาพอากาศ และ อุณหภูมิ ที่ค่อนข้างแตกต่างกันมากในแต่ละฤดูการ
การบริหารจัดการธาตุอาหารพืช เพื่อเพิ่มผลผลิต
การบริหารจัดการธาตุอาหาร และ การให้ปุ๋ยในพืช ถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจหลักในการเพิ่มผลผลิตให้พืช โดยพืชนั้นมีความต้องการธาตุอาหาร มากถึง 17 ธาตุอาหาร และ พื้นที่การเกษตรส่วนมากในประเทศไทย เป็นพื้นที่ ที่มีการเพาะปลูกซ้ำในทุกๆปี ทำให้ธาตุอาหารจะค่อยๆลดลงไปในทุกๆรอบการเพาะปลูก ดังนั้น การเติมธาตุอาหารให้ครบถ้วน และ เพียงพอต่อความต้องการของพืช จึงเป็นหัวใจหลัก ที่จะช่วยให้เราสามารถเพิ่มผลผลิต ต่อไร่ต่อปี ได้อย่างยั่งยืน
โดยความผิดพลาดของการใส่ปุ๋ย และ เติมธาตุอาหารพืช ที่เราพบได้มากในประเทศไทย คือการเน้นเติมธาตุใดธาตุหนึ่ง มากจนเกินไป แต่เติมไม่ครบถ้วนทุกธาตุ โดยเฉพาะ ไนโตรเจน (N) ซึ่ง มีส่วนช่วยทำให้ใบพืชเขียวชัดเจน เป็นธาตุที่เห็นผลได้ชัดเจน และ รวดเร็วที่สุด จึงเป็นธาตุที่ได้รับความนิยม และ มีการใช้งานในปริมาณมากที่สุด แต่ในหลายครั้ง อาจไม่ได้เลือกเติมธาตุอาหารอื่นๆอย่างเพียงพอ ทำให้สุดท้าย ผลผลิตที่ได้ ไม่สอดคล้องกับปริมาณปุ๋ย และ ธาตุอาหาร ที่เราเติมลงไป
ผลผลิตพืชส่วนมากนั้น จึงมักจะถูกจำกัด ด้วยธาตุอาหารที่มีน้อยที่สุดในดิน หรือ ธาตุที่เราเลือกเติมเข้าไปน้อยที่สุด ซึ่งเมื่อพืชได้รับธาตุอาหาร ธาตุใดธาตุหนึ่ง ไม่เพียงพอ หรือ ขาดธาตุอาหารนั้นๆ ก็จะทำให้พืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ หรือ ต้นจะอ่อนแอ ไม่ทนต่อโรค และ แมลง และส่งผลให้ผลผลิตของพืชลดลงไปจากการขาดธาตุอาหารนั้นๆ
ดังนั้นในการเติมปุ๋ย และ เติมธาตุอาหารให้พืช จึงควรเลือกเติมให้ครบถ้วน และ เหมาะสมตามปริมาณ โดยคำแนะนำการใส่ปุ๋ยแต่ละพืช สามารถหาได้ ดังนี้:
- การใส่ปุ๋ยใน ข้าว
- การใส่ปุ๋ยใน อ้อย
- การใส่ปุ๋ยใน ข้าวโพด
- การใส่ปุ๋ยใน มันสำปะหลัง
- การใส่ปุ๋ยใน ปาล์มน้ำมัน
- การใส่ปุ๋ยใน ยางพารา
- การใส่ปุ๋ยใน ทุเรียน
- การใส่ปุ๋ยใน สับปะรด
- การใส่ปุ๋ยใน แตงโม
- การใส่ปุ๋ยใน เผือก
การบริหารจัดการศัตรูพืช – โรคพืช เพื่อเพิ่มผลผลิต
การบริหารจัดการ ศัตรู และ โรคพืช เป็นปัจจัยสุดท้าย ที่มีผลต่อการให้ผลผลิต ซึ่งหากเรามีการดำเนินการใน 2 ข้อแรกได้อย่างดี ได้แก่ การคัดเลือกประเภทพืช และ พันธุ์พืชที่เหมาะสม ประกอบกับการจัดการธาตุอาหารพืช ให้พืชได้รับธาตุอาหารอย่างครบถ้วน และ เหมาะสม ก็จะมีส่วนช่วยให้พืชสามารถเจริญเติบโตได้อย่างแข็งแรง มีคุณภาพ สามารถทนต่อโรค และ แมลงได้ดีมากขึ้น
เปรียบเสมือนกันคนที่ได้รับสารอาหารอย่างเหมาะสม ก็จะมีความแข็งแรง สามารถทนโรคภัยต่างๆได้ดีตามไปด้วย
และสุดท้าย การเลือกใช้วัสดุปราบ ศัตรูพืช และ โรคพืช ก็เป็นด่านสุดท้าย ที่มีความสำคัญ ที่จะช่วยแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น และ ช่วยทำให้พืชหลักของเราสามารถเจริญเติบโตให้เต็มที่ และ มีความพร้อมในการให้ผลผลิตที่ดีได้ ในลำดับถัดไป
สอบถามข้อมูลแนวทางการเพิ่มผลผลิตพืชเพิ่มเติม:
หรือ ติดต่อเรา